รีวิวเกม Burnout Paradise

เป็นเกมแข่งรถที่เป็นที่นิยมมาก ๆ ในช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งภาคจาก Series ชื่อดังอย่าง Burnout ที่ในปีนี้ทางผู้พัฒนาเองก็ได้มีการนำเกมนี้กลับมา Remaster ใหม่อีกครั้ง และใช้ชื่อเกมว่า Burnout Paradise ซึ่งก็ต้องมาดูกันครับว่าการกลับมาครั้งนี้จะยังคงรักษาความสนุกของเกมไว้ได้มากแค่ไหน ติดตามกันในรีวิวเกมนี้กันเลย

สามารถเล่นได้บนแพลตฟอร์ม Nintendo Switch , Xbox และ PC เท่านั้น

ราคา 540 บาท บนร้านค้า Steam

Burnout Paradise : การกลับมาของเกมรถในตำนาน

Game About : รายละเอียดต่าง ๆ ภายในเกม

ต้องบอกก่อนเลยว่าเกมนี้ไม่ใช่เกมใหม่อะไร เพราะตัวเกมเคยลงให้กับ PlayStation และ Xbox มาก่อนแล้ว ซึ่งในภาคนี้เองก็เหมือนเป็นการยกระดับในหลาย ๆ ด้านขึ้นมานั่นเอง อีกทั้งยังมีการทำให้การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ภายในเกมไหลลื่นขึ้นอีกด้วย เพราะตัวเกมเองจะไม่ใช่เกมแนว Racing ทั่วไป แต่จะเป็นเกมที่ให้อิสระกับผู้เล่นค่อนข้างมากพอสมควร ที่จะมีฉากหลังอยู่ในเมือง Paradise City ที่หลัก ๆ จะเป็นการขับรถไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อทำ Event ภายในเกม ที่จะมีการแข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งกันเพื่อชิงที่ 1 หรือการเบียดรถของคนอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

Gameplay : ระบบภายในเกม

อย่างที่รู้ ๆ กันดีอยู่แล้วว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Arcade Racing ที่จะเป็นเกมแข่งรถที่มาพร้อมกับโหมดการเล่นที่หลากหลาย อีกทั้งยังมีการเพิ่มเติมระบบใหม่ ๆ เข้ามาให้กับตัวเกมอีกด้วย ทั้งร้านค้าภายในเมือง ร้านแต่งรถ รวมไปถึงตัวเกมยังมีระบบกลางวัน กลางคืนอีกด้วย ซึ่งในการกลับมาครั้งนี้ตัวเกมก็ได้มีการเพิ่มเติมรถใหม่ ๆ เข้ามามากถึง 130 กว่าคันเลย ไม่ว่าจะเป็นรถมอไซค์ รวมไปถึงรถของเล่นเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ ตัวเกมยังมีระบบ Online Multiplayer ให้ผู้เล่นได้เล่น Online กับเพื่อนได้อีกด้วย ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายใหม่ของเกมเลย แต่ก็มีจุดบกพร่องบางส่วน เช่น รถใน DLC ถูกเพิ่มเข้ามาง่ายเกินไป ซึ่งมันทำให้ความท้าทายในการตามหารถของผู้เล่นนั้นลดลงนั่นเอง

Graphic : กราฟิกต่าง ๆ ภายในเกม

อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่านี่คือการ Remaster ของเกม นั่นทำให้สิ่งที่หลาย ๆ คนคาดหวังคือส่วนของงานด้านภาพ ที่ตัวเกมเองจะมีความละเอียดอยู่ที่ 900p  แต่เมื่อต่อเข้ากับ TV จะอยู่ในระดับ 720p ซึ่งไม่ว่าจะเล่นในไหน ก็จะมีค่า FPS อยู่ที่ 60 FPS แต่บนเครื่อง Nintendo Switch อาจจะมีภาพเบลอบ้างบางจังหวะ แต่ก็ไม่ได้มีผลกับการเล่นมากเท่าไหร่ ซึ่งโดยรวมแล้วก็ถือว่าทำออกมาได้ดีในระดับนึงเลย

ให้คะแนน 8 / 10 คะแนน เพราะ เป็นการ Remaster กลับมาที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนหายคิดถึงได้เป็นอย่างดี ที่จะมีการเพิ่มเติมระบบใหม่ ๆ เข้ามาใน Gameplay รวมไปถึงยังมีการยกระดับในส่วนของกราฟิกขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งมันก็คุ้มค่าที่จะซื้อมาเล่นครับ