รีวิวเกม Mass Effect Andromeda การกลับมาของการตะลุยอวกาศ

เป็นเกมที่อยากรีวิวเกมมานานแล้วครับ แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้หยิบเกมนี้มารีวิวสักที และในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงแล้วครับ สำหรับการรีวิวเกม Mass Effect Andromeda อีกหนึ่งเกมไซไฟที่น่าเล่นไม่แพ้เกมในแนวเดียวกันเลย ซึ่งอะไรที่ทำให้เกมนี้มีความน่าสนใจ และจะเป็นเกมแนวไหน ก็ไปติดตามพร้อม ๆ กันเลยครับ

สามารถเล่นได้บนแพลตฟอร์ม PlayStation และ PC เท่านั้น

ราคา 799 บาท บนร้านค้า Steam

Mass Effect Andromeda : การกลับมาของการตะลุยอวกาศ

Game About : รายละเอียดต่าง ๆ ภายในเกม

เป็นเวลา 634 ปีที่เผ่าพันธุ์จาก Galaxy ทางช้างเผือกได้เดินทางข้ามจักรวาลเพื่อหาที่อยู่ใหม่ โดยเป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้ก็คือ Andromeda Galaxy ซึ่งทุกเผ่าพันธุ์ที่เดินทางมาจะมีผู้นำในนามของ Path Finder ที่จะมีหน้าที่หาที่อยู่ใหม่ให้แก่เผ่าพันธุ์ ในเกมนี้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Path Finder ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เราก็ไม่ใช่กลุ่มแรกที่มาเจอ Andromeda นั่นจึงทำให้เรื่องราวในการหาบ้านหลังใหม่เริ่มขึ้นจากตรงนี้ ซึ่งก็บอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าเรื่องราวภายในเกมนี้เป็นอะไรที่ยืดยาวมาก ๆ ซึ่งในภาคที่ผ่านมาก็ใช้เวลาเล่นเพียง 20 – 30 ชั่วโมง ก็สามารถเล่นจบได้แล้ว แต่ในภาคนี้ก็ใช้เวลาถึง 40 – 50 ชั่วโมงเลยครับ และยิ่งหากใครที่ต้องการเก็บรายละเอียดก็ใช้เวลามากกว่านั้นแน่นอน ซึ่งก็อาจจะทำให้ใครหลาย ๆ คนเกิดอาการเบื่อได้เลย

Presentation : การนำเสนอภายในเกม

ใครที่เคยเล่นภาคก่อน ๆ ของเกมนี้มาแล้ว ระบบต่าง ๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่หากไม่เคยก็ต้องบอกเลยว่าเกมนี้จะเป็นเกมที่ผู้เล่นจะต้องขับยานเพื่อบินสำรวจ Galaxy ผู้เล่นจะได้เห็นว่าระบบสุริยะมีอะไรอยู่บ้าง โดยในภาคนี้พื้นที่บนดวงดาวแต่ละดวงจะมีขนาดที่กว้างขึ้น ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน แถมยังมีในส่วนของรถ Nomad ที่สามารถลุยไปได้ทุกพื้นที่ และในภาคนี้ก็ยังมีอุปกรณ์ใหม่ ๆ อย่าง Scanner ที่ผู้เล่นจะได้ใช้บ่อยมาก ๆ ทั้งในตอนที่ผ่าน Quest ไปจนถึงใช้ในการแก้ปริศนาต่าง ๆ และในเกมนี้ก่อนที่ผู้เล่นจะต้องไอเทมอะไรขึ้นมา ก็จะต้องทำการวิจัยก่อน ไม่งั้นก็จะไม่สามารถสร้างไอเทมขึ้นมาได้ครับ

Performance : ประสิทธิภาพภายในเกม

ต้องยอมรับในส่วนของ Engine ที่ทางผู้พัฒนานำมาใช้ได้อย่างเต็มที่เลยครับ ผู้เล่นจะได้เห็นความอลังการของฉาก และ Effect ตลอดทั้งเกม ซึ่งที่เป็นเหมือนจุดเด่นของ Engine นี้เลยก็คือในส่วนของแสง ที่จะมีความสมจริงมาก ๆ แม้ว่ารายละเอียดภายในฉากจะไม่เท่าไหร่ แต่พอมีแสงมาช่วยก็กลับทำให้สิ่งรอบข้างดูสมจริงตามไปด้วย แม้ว่าในส่วนของ Gameplay อาจจะไม่ได้สนุกเหมือนภาคก่อน ๆ แต่ในเรื่องของกราฟิกต้องบอกเลยครับว่าไม่น้อยหน้าเกมอื่น ๆ แน่นอน

ให้คะแนน 8 / 10 คะแนน เพราะ ก็ถือว่าเป็นเกมแนว FPS ที่ยังคงนำเสนอสิ่งต่าง ๆ จากภาคที่ผ่านมาไว้ได้อย่างลงตัว ทั้ง Gameplay และกราฟิกที่อลังการ แต่ปัญหาที่ยังคงพบเจออยู่ก็คงหนีไม่พ้นบัคภายในเกมที่ในบางครั้งอาจจะทำให้ไม่ผ่าน Quest ได้เลยครับ