รีวิวเกม Dark Deity ภาคต่อของ Series บนเครื่อง Switch

เรียกได้ว่าเป็นเกมแนว Tactics หรือเกมแนววางแผนการต่อสู้ที่มีภาคต่อมากมาย หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงชื่อเกม Fire Emblem เป็นอันดับแรก ๆ แน่นอน ที่เป็นเกมที่มีอายุมากกว่า 30 ปีเลยก็ว่าได้ และล่าสุดเครื่อง Console อย่าง Nintendo Switch ก็ได้มีการเปิดตัวเกมอย่าง Dark Deity ออกมาแล้วครับ เรียกได้ว่าให้อารมณ์คล้ายกับเกมอย่าง Fire Emblem แน่นอน เพราะเกมนี้ได้แรงบันดาลใจจากเกมรุ่นพี่มาเต็ม ๆ แต่จะน่าสนใจแค่ไหนนั้นก็ไปติดตามกันในรีวิวเกมนี้เลยครับ

สามารถเล่นได้บนแพลตฟอร์ม Nintendo Switch และ PC เท่านั้น

ราคา 191 บาท บนร้านค้า Steam

Dark Deity : ภาคต่อของ Series บนเครื่อง Switch

Game About : รายละเอียดต่าง ๆ ภายในเกม

แน่นอนว่าเกมในแนว Tactics ส่วนมากก็จะมาพร้อมกับเรื่องราวให้ติดตามกันด้วย โดยเรื่องราวในเกมนี้จะมีฉากหลังอยู่ในอาณาจักร Delian ที่ในยุคนั้นก็กำลังเกิดสงครามกันอยู่ จึงทำให้ราชาอย่าง Varic ต้องตามหากองกำลังมาช่วยในการรบ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน หรือ ทหาร ซึ่งในเกมนี้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Irving , Garrick , Maren และ Alden ที่จะต้องมาอยู่ในสงครามแห่งความวุ่นวายนี้ รวมไปถึงพลังแห่งความชั่วร้ายของวัตถุโบราณ โดยเรื่องราวภายในเกมนี้ก็ถือว่ามีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่น่าติดตามพอสมควรเลย รวมไปถึงระหว่างเล่นก็จะมีเหตุการณ์สำคัญมากมายค่อย ๆ เฉลยมาอีกด้วย

Gameplay : ระบบภายในเกม

มาพูดถึงเรื่องรูปแบบการเล่นภายใน Gameplay กันบ้างครับ หากใครที่เคยผ่านเกมอย่าง Fire Emblem มาก่อนก็จะเห็นได้ชัดเลยว่าจะมีรูปแบบการเล่นที่คล้ายกันมาก ๆ โดยหลัก ๆ แล้วผู้เล่นจะต้องควบคุมกองทัพของเราภายในสนามรบ ที่จะมาในรูปแบบ 2D ส่วนรูปแบบการต่อสู้ภายในเกมจะใช้ระบบ Turn Based ที่จะสลับกันออกคำสั่งการโจมตีกับศัตรู ซึ่งในการรอศัตรูออกคำสั่งนั้นก็จะต้องรอเวลาหน่อย เรียกได้ว่าระบบนี้อาจจะน่าเบื่อสำหรับหลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยความ Classic ของรูปแบบการเล่นนี่แหละครับ ที่ทำให้เกมนี้ดูมีเสน่ห์ รวมไปถึงระหว่างการเล่นนั้นสีของทีมเรา กับสีของศัตรูจะถูกแบ่งออกอย่างชัดเจน อีกทั้งระบบการเดินแบบช่องก็ยิ่งทำให้เกมนี้ดูมีความน่าสนใจขึ้นมาอีก

Graphic : กราฟิกภายในเกม

เป็นความตั้งใจของทีมงานผู้พัฒนาอยู่แล้ว ที่ต้องการนำเสนอกราฟิกภายในเกมให้ดูคล้ายกับเกมอย่าง Fire Emblem มากที่สุด ที่จะมาในรูปแบบ 16 Bit ภายในฉาก แต่ตัวละครหลักของเราภายใน Cut Scene จะอยู่ในรูปแบบภาพนิ่ง แต่ในภาพนิ่งก็อยู่ในความคมชัดระดับ HD เลยครับ เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานกราฟิกกันได้ลงตัวมาก ๆ ครับ ส่วนในการต่อสู้นั้นจะเป็นกราฟิกแบบ Dot Pixel อีกทั้งเรื่องของ Sound Effect ในการต่อสู้ก็มีการยกระดับมาให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นอีกด้วยครับ

ให้คะแนน 8 / 10 คะแนน เพราะ จากที่ได้ลองเล่นมาแล้วนำมารีวิวเกมนี้ ถือว่ามีการใช้เกมอย่าง Fire Emblem มาเป็นแรงบันดาลใจได้อย่างยอดเยี่ยม ที่จะมาพร้อมกับกราฟิกแบบ 16 Bit ที่หลายคนคุ้นเคย แต่กลับผสมผสานกับกราฟิกในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว เรียกได้ว่าหากมองรวม ๆ แล้วใช้ได้เลยครับ