รีวิวเกม FORECLOSED

หลังจากที่เกมอย่าง Cyberpunk ประสบความสำเร็จมาก ๆ ในวงการเกมก็ทำให้หลาย ๆ เกมมีการนำฉากหลังที่เน้นสีสัน เน้น Setting ที่คล้าย ๆ กับ Cyberpunk เช่นเดียวกันกับเกมอย่าง FORECLOSED ที่เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ ที่จะเป็นอีกหนึ่งเกม Action ที่ทีมงานได้ใส่ความพยายามลงไปอย่างเต็มที่ แต่นั่นจะเพียงพอให้เกมนี้มาอยู่ในใจใครหลาย ๆ คนได้หรือไม่นั้นก็ไปดูกันในรีวิวเกมนี้เลยครับ

สามารถเล่นได้บนแพลตฟอร์ม PC เท่านั้น

ราคา 259 บาท บนร้านค้า Steam

FORECLOSED : เกมอินดี้ที่เต็มไปด้วยความพยายาม

Game About : รายละเอียดต่าง ๆ ภายในเกม

เกมนี้จะเป็นเกม Action ที่มีฉากหลังอยู่ในโลก Open World ที่จะให้ผู้เล่นเล่นผ่านมุมมองแบบบุคคลที่ 3 ที่จะมีการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เข้าไประหว่างการเล่นด้วย แต่มันกลับขัดกันกับการนำเสนอกราฟิก ที่จะเป็นรูปแบบคล้าย ๆ นิยายภาพ ซึ่งมันก็ทำให้ดูตกยุคมาก ๆ เมื่อนำมาใช้กับเกมแนวนี้ โลกของเกมนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจในระดับนึงเลย ที่ในส่วนของการนำเสนอเรื่องราวจะค่อย ๆ เปิดเผยออกมา จะไม่ได้เป็นการเล่าแบบตรง ๆ อีกทั้งยังมีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับการล้างแค้นเขาไปผสมผสานอยู่ด้วย ซึ่งในเกมนี้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นน Evan Kapnos ที่เขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่อยู่ ๆ ก็ได้ไปมีเอี่ยวกับเรื่องราวลึกลับบางอย่าง ที่จะต้องจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเขาเองให้ได้

Gameplay : ระบบภายในเกม

มาถึงในส่วนของ Gameplay กันเลยครับ ซึ่งหากจะให้พูดตรง ๆ แล้วเกมนี้ก็ไม่ได้เน้นไปที่การ Action อย่างที่หลาย ๆ คนคิด เพราะตัวเกมจะเน้นไปที่การแก้ปริศนา Puzzle ในโลก Open World มากกว่า ที่จะมีการผสมผสานการเล่นในแบบลอบเร้น หรือการหาเส้นทางไปยังด่านต่อไป อีกทั้งยังมี Mini Game เล็ก ๆ เข้ามาอีกด้วย โดยหลาย ๆ คนเองก็คาดหวังว่าระบบการต่อสู้ของเกมนี้จะทำออกมาได้ยอดเยี่ยม แต่ไม่เลย เพราะด้วยการควบคุมต่าง ๆ และกราฟิกที่เป็นภาพวาดก็ส่งผลให้ Gameplay ของเกมนี้นั้นดูตกยุคไปมาก ๆ ครับ อีกทั้งอาวุธในเกมนี้จะมีให้ผู้เล่นได้ใช้เพียงอย่างเดียวเลย ก็คือปืนสั้นนั่นเอง

สิ่งอื่น ๆ ภายในตัวเกม

อีกหนึ่งอย่างที่ทำออกมาได้ไม่มีความท้าทายเลยคือ บรรดาศัตรูที่แทบจะมีไม่ความฉลาดอะไรเลย จะมีดีก็เพียงเลือดที่เยอะเท่านั้นเอง และอีกหนึ่งสิ่งที่เกม Action ในปัจจุบันควรจะมีเล่นคือ ระบบ Upgrade ซึ่งสำหรับในเกมนี้เองก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย ด้วยความที่เรื่องราวต่าง ๆ ของเกมนั้นสามารถเล่นจบได้ในเวลา 3 ชั่วโมง จึงทำให้ระบบ Upgrade นั้นดูไม่ค่อยหลากหลายเท่าไหร่ ซึ่งหากจะให้พูดตรง ๆ เลยก็คือ ไม่มีจะดีกว่า

ให้คะแนน 5 / 10 คะแนน เพราะ เรียกได้ว่าเป็นเกม Action ก็คงเรียกได้ไม่เต็มปาก ที่มีการนำเสนอสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะเป็นกราฟิก Gameplay ไปจนถึงระบบ Upgrade ที่แทบจะไม่มีอะไรลงตัวกันเลย เป็นอีกหนึ่งเกมยอดแย่แห่งปีเลยก็ว่าได้ครับ