รีวิวเกม Inexistence Rebirth

สำหรับใครที่กำลังมองหาเกมแนว Metroidvania หรือเกมแนวสำรวจที่เน้นการผจญภัยไปด้วยนั้นวันนี้เราก็มีอีกหนึ่งผลงานเกมอย่าง Inexistence Rebirth มาแนะนำกันครับ ที่จะเป็นเกมที่มาพร้อมกับกราฟิกที่คลาสสิค แต่ยังคงมีกลิ่นอายของการผจญภัยอยู่เต็มไปหมด ก็ต้องมาดูกันว่าเกมนี้จะสามารตอบโจทย์ใครหลาย ๆ คนได้มากน้อยแค่ ติดตามพร้อมกันในรีวิวเกมนี้กันเลย

สามารถเล่นได้บนแพลตฟอร์ม Nintendo Switch และ PC เท่านั้น

ราคา 175 บาท บนร้านค้า Steam

Inexistence Rebirth : เกมแนวผจญภัยที่มาพร้อมความคลาสสิค

Game About : รายละเอียดต่าง ๆ ภายในเกม

มาเริ่มกันในภาพรวมต่าง ๆ ภายในเกมกันเลยครับ ตัวเกมจะมีเรื่องราวเริ่มต้นอยู่ในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง โดยที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Hald ที่จะเป็นพี่ชายที่มีหน้าที่ดูแลประตูวิเศษ และอยู่มาวันหนึ่งน้องสาวของเขาที่ชื่อ Hania ก็ได้ถูกพ่อมดที่ชื่อว่า Claos ได้ใช้คาถาทำให้หลับไป นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณต้องออกเดินทางตามหาพ่อมดคนนี้เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าการที่คุณไม่ได้เฝ้าประตู ก็จะทำให้ปีศาจร้ายออกมามากมาย ซึ่งพวกมันก็จะเป็นศัตรูภายในเกมนั่นเอง โดยเรื่องราวทั้งหมด รวมไปถึง Gameplay จะถูกนำเสนอผ่านกราฟิกที่คลาสสิค หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในรูปแบบ 16 Bit ซึ่งมันก็ทำออกมาได้เข้ากับตัวเกมมาก ๆ

Gameplay : ระบบภายในเกม

มาถึงในส่วนของ Gameplay กันบ้าง เกมนี้จะเป็นเกมแนวอินดี้ก็ว่าได้ ที่จะเป็นเกมแนว Metroidvannia ที่ไม่ได้เป็นเกมฟอร์มใหญ่อะไรนัก เพราะเกมนี้ถูกสร้างมาจากคนเพียงคนเดียว ที่จะเน้นไปที่การกด Action ที่สนุก ซึ่งในตอนเริ่มเกมนั้นตัวละครของเราจะยังไม่ค่อยมีความสามารถเท่าไหร่ ผู้เล่นจะต้องเล่นไปเรื่อย ๆ เพื่อเก็บ EXP ให้มี Level ที่สูงขึ้น มันจะทำให้ตัวละครของเรานั้นใส่ชุดเกราะต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังสามารถ Up Skill ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการ Heal รวมไปถึงการกระโดด 2 จังหวะ อีกทั้งยังสามารถนำ Gold ที่ฟาร์มมาไปซื้อไอเทม หรืออาวุธที่ดีกว่าเดิมจากร้านค้าได้อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าตัวเกมจะมีระดับความยากให้เลือก และต้องบอกก่อนเลยว่าเกมนี้ในระดับ Easy ก็เป็นอะไรที่ท้าทายผู้เล่นมากพอสมควรเลย

Graphic : กราฟิกต่าง ๆ ภายในเกม

อย่างที่บอกไปในหัวข้อต้น ๆ แล้วว่าเกมนี้จะมีกราฟิกที่ดูย้อนยุค ที่จะใช้ Art Style ในรูปแบบ 16 Bit ที่มีความคลาสสิคเหมือนในยุค 90 ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่เหมาะสมกับเกมอินดี้มาก ๆ ซึ่งก็อาจจะไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก และยังคงมีข้อสังเกตให้เห็นอยู่ไม่ว่าจะเป็นสีของข้อความภายในเกมอาจจะกลมกลืนไปกับฉากหลัง จนบางทีก็ทำให้ผู้เล่นไม่เข้าใจในบทสนทนานั่นเอง

ให้คะแนน 7 / 10 คะแนน เพราะ เป็นเกมใน Action Platform ที่ถือว่ามีความท้าทายผู้เล่นมากพอสมควร ที่จะมาพร้อมกับกราฟิกสุดคลาสสิค แต่ก็ยังดูย้อนยุคเกินไป อีกทั้งบทสนทนาภายในเกมยังไม่สามารถกด Skip ข้ามได้อีกด้วย